เมื่อปลายเดือนมกราคม เราไป เที่ยวคิวชู มา เลยอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังกัน เนื่องจากก่อนไปนั้น เราเตรียมตัวศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดพอสมควร เพราะเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิตเลย เรียกได้ว่า เป็นการเริ่มต้นอายุ 25 ได้ท้าทายมาก เราจึงพยายามเก็บเกี่ยวอะไรให้ได้มากที่สุด และคิดว่าการเตรียมตัวของเรา ไม่น่าจะพลาดอะไรเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างก็ผิดคาด เพราะเราดันไปช่วงเวลาที่เกิดพายุหิมะหนักที่ญี่ปุ่นพอดี ดูเหมือนอะไรๆก็ไม่เป็นใจ แต่ภายใต้การผิดแผน กลับกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจได้อย่างไม่มีวันลืมลง
สายการบิน JetStar เป็นสายการบินที่บินตรงจากไทยไปถึง Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ด้วยราคาประหยัด เราจองขาไป-กลับ 4280 บาท รวมค่าภาษีสนามบิน โหลดกระเป๋า ค่าหักบัตรเครดิตแล้วอยู่ที่ 5863.43 บาท (ด้วยความไม่รู้ของค่าหักบัตรเครดิต 3 รอบ เหงื่อซ่กเลย) เราเที่ยวคิวชูตั้งแต่ วันที่ 23 – 29 มกราคม นั่นล่ะ เรามีเวลาอยู่คิวชู 7 วัน 6 คืน
ที่จริงตอนจองตั๋วมาได้แค่ 5 คืน แต่ทางสายการบินส่งอีเมล์และ sms มาขอเลื่อนเวลา landing ก็เลยให้เราเลือกเองว่าจะเลื่อนวันเดินทางหรือไม่ +- ไปหนึ่งวัน ถือว่าก็โชคดีนะ ทำให้ได้เที่ยวคิวชูเพิ่มอีก 1 วัน หวานหมูล่ะทีนี้ ก็ทำการยืนยันกับสายการบินไปในอีเมล์แค่นั้น ที่เหลือก็แค่… เตรียมตัวไปเที่ยวคิวชู
[Chapter 1 – ติวเข้มก่อนไปจริง]
บางคนอาจจะยังสงสัยกันว่า Kyushu (คิวชู) คืออะไร และ Fukuoka (ฟุกุโอกะ) คืออะไร? คือที่ต้องละเอียดขนาดนี้ก็เพราะว่า ตอนแรกที่เราจองตั๋วได้แบบงงๆ จองไปโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าฟุกุโอกะนี่มันอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่นวะเนี่ย พอได้เริ่มหาข้อมูลก็งงเข้าไปใหญ่ เลยอยากจะช่วยอธิบาย เผื่อใครสับสนเหมือนเราในตอนแรกๆ (หรืออาจจะมีแค่เรา ที่เป็นอยู่คนเดียว ฮ่าๆ)
คิวชู คือ “เกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น” เป็นเกาะที่มีธรรมชาติสวยงาม น่าหลงไหลมากไม่แพ้กับเมืองอื่นๆเลย มีหลายจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ทั้งคนไทย ชาวต่างชาติและแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็มักจะมาพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่ คิวชูมีทั้งหมด 8 จังหวัดได้แก่ Fukuoka, Saga, Nagasaki, Kumamoto, Oita, Miyazaki and Kagoshima โดยมีเมือง Hakata (ฮากาตะ) เป็นเมืองหลวงของ จังหวัด Fukuoka (ฟุกุโอกะ) และสถานี Hakata นี้เองเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชู และถือว่าเป็นเมืองที่อยู่ใกล้สนามบินที่สุดเลยก็ว่าได้ สามารถเดินทางได้ง่ายๆด้วยรสบัสและรถไฟใต้ดินไม่กี่นาที
การท่องเที่ยวที่คิวชูจะใช้รถไฟในการเดินทางซะส่วนใหญ่ เพราะคิวชูมีขบวนรถไฟมากมายที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเอกลักษณ์จริงๆ โดยรถไฟบางขบวนที่พิเศษมากๆ เช่น Yufuin No Mori และ ASO Boy! จะต้องมีการจองที่นั่งก่อนทุกครั้ง และการจองบางครั้งก็ยากเหลือเกิน เพราะแต่ละวันเดินทางแค่ไม่กี่รอบ และคนที่ไวกว่า คือผู้พิชิต! ฟังดูตื่นเต้นกันรึยัง ถ้ายังเราจะเล่าในสิ่งที่เรารู้ให้ฟัง (หากใครอยากสัมผัสเรื่องรถไฟของคิวชูแบบเจาะลึกมากกว่านี้ ลองไปหาหนังสือ “ทางรถไฟสายดาวตก”ของ บงกลด บางยี่ขัน หนังสือเล่มนี้ทำให้เราหลงไหลกับรถไฟเป็นอย่างมาก ทำให้จุดมุ่งหมายของการไปเที่ยวคิวชูครั้งนี้น่าค้นหามากยิ่งขึ้น)
ถ้าดูจากรูปจะเห็นจุดหลักๆที่ขบวนรถไฟจะเดินทางไปของแต่ละเมือง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะแพลนเส้นทางกันตามแต่ละสถานที่ที่อยากจะไป โดยการเดินทางด้วยรถไฟที่คิวชูนั้น สามารถซื้อบัตรแบบเหมาได้ สำหรับการขึ้นรถไฟได้ตลอดเวลาตามข้อกำหนด รวมไปถึงการจองรถไฟขบวนต่างๆ สิ่งแรกที่เราต้องมีเลยนั่นก็คือ “JR KYUSHU RAIL PASS” หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า “บัตรเบ่ง” เป็นบัตรที่ญี่ปุ่นจัดขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศเค้านั่นเอง
โดยตั๋ว JR KYUSHU นี้ จะมี 2 แบบก็คือ North Kyushu และ All Kyushu แล้วก็สามารถเลือกเหมาแบบ 3 หรือ 5 วัน (หากต้องการใช้มากกว่า 5 วันก็ซื้อเพิ่มใหม่) โดยในทริปนี้ เราซื้อแบบ North Kyushu 5 days ราคา 10000 yen นี่แค่เที่ยวเฉพาะโซนเหนือนะ ก็ยังเที่ยวไม่ครบเลย ถ้าซื้อแบบ All Kyushu นี่คงต้องอยู่เป็นเดือนๆ สงสัยจะได้ไปใหม่อีกหลายๆๆรอบ ฮ่าๆๆ
การเดินทางท่องเที่ยวในคิวชู ด้วยรถไฟ โดยบัตร JR Kyushu Rail Pass
การเดินทางภายในคิวชูนิยมนั่งรถไฟกันซะส่วนใหญ่ โดยรถไฟที่ญี่ปุ่นนั้น หากทำความเข้าใจดีๆจะพบว่าเดินทางง่ายและสะดวกมาก เพราะว่าสมัยนี้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ บวกกับประเทศญี่ปุ่นวางโครงสร้างการคมนาคมได้เป็นอย่างดี ทำให้การวางแผนการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างตรงแพลน เพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการตรงต่อเวลามาก รถไฟระบุเวลาอะไรไว้ก็ออกเวลานั้นไม่คาดเคลื่อนเลย สุดยอดจริงๆ ใครมาไม่ทันไม่มีหยุดรอนะ ตกรถไฟท่าเดียวจ้า เรามองว่าเป็นข้อดีนะ เพราะหากพลาดแพลนไหน สามารถวางแผนสำรองเอาไว้เผื่อสถานการ์ณฉุกเฉินอีกด้วย และเว็บไซต์สำคัญที่ควรต้องรู้ สำหรับการเช็คเวลาการเดินทางของชินคันเซน รถไฟ และรถรางของแต่ละท้องถิ่น http://www.hyperdia.com/
โดยเรา สามารถโหลดแบบฟอร์มการจองรถไฟคิวชู แล้วปริ้นมาเขียนไว้ก่อนเลยจ้า เมื่อไปถึงที่ Hakata ก็ต่อแถวแล้วยื่นใบให้แก่เจ้าพนักงานได้เลย ถ้าขบวนไหนเต็ม เจ้าหน้าที่พนักงานจะขีดฆ่าออกแล้วบอกเราเองจ้า ยังไงก็ดี เตรียมแผนสำรองไว้กันด้วยล่ะ
สามารถดูข้อมูลรถไฟทุกขบวนของภูมิภาคคิวชูทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์หลักของ JR Kyushu Rail Pass
ตั๋ว JR KYUSHU RAIL PASS ซื้อได้ที่ไหน?
ตอบ: สามารถซื้อได้ 2 ที่ ได้แก่
1) ซื้อตั๋ว JR ได้ที่ Agency ที่ไทย มีหลายเจ้าให้เลือก เช่น H.I.S. , 2.ACCORD TRAVEL SERVICE, Painaima, Wismatravel (เราซื้อของ H.I.S) มีรายละเอียดดังนี้
- นำ passport + เงินไทย ไปซื้อที่เคาน์เตอร์ เพียงแค่บอกว่าต้องการซื้อตั๋ว “JR KYUSHU RAIL PASS แบบ NORTH / ALL เวลา 3 วัน / 5 วัน” (ฝากเพื่อนได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเอง)
- ราคาที่ระบุไว้เป็นเงินเยน ดังนั้นเวลาที่เราไปซื้อ ก็จ่ายเงินไทยโดยใช้เรตค่าเงิน ณ ปัจจุบัน (ราคาจะ update ทุกวันอังคาร)
- ตั๋วที่เราซื้อจากไทย จะเรียกว่า ตั๋วชั่วคราว (Exchange Order) หรือ voucher หลังจากนั้นต้องนำไปแลกเป็นตั๋วจริงที่ประเทศญี่ปุ่น จะมีอายุ 90 วัน
- ตั๋วชั่วคราวสามารถขอคืนเงินได้ ก่อนการเปลี่ยนเป็นตั๋ว pass kyushu จริง มีค่าธรรมเนียมการยกเลิกกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละบริษัท
แลกตั๋ว JR ได้ที่ไหน?
- สามารถแลกตั๋วได้ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ที่อยู่ในเครือ JR ทั่วญี่ปุ่น ให้สังเกตเครื่องหมาย Midori no Madoguchi
- นำ passport + voucher ไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่สถานี (ให้ดูโซนฝั่งที่เขียนว่าสำหรับชาวต่างชาติ)
- เลือกวันที่ต้องการเปิดใช้บัตรในวันแรก เช่น เราไปถึงวันที่ 1 แต่เราแพลนไว้ว่าวันที่ 1 เนี่ยอยากจะอยู่ที่ Hakata ก่อน แล้ววันที่ 2 ค่อยไป Kumamoto เราก็สามารถบอกเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ ว่าเราขอเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 2 เจ้าหน้าที่ก็จะแสตมป์วันที่เริ่มต้นใช้งาน และวันที่หมดอายุ คือแค่ไม่เกิน 1 เดือนหลังจากที่ได้บัตร JR แบบแข็งมา (ลิ้งค์นี้อธิบายไว้ละเอียดดีมากค่ะ http://bit.ly/1T9Mc3e)
2) ซื้อตั๋ว JR ได้ที่ญี่ปุ่น
- สถานที่ที่สามารถซื้อตั๋ว JR Kyushu Rail Pass
- ส่ง Passport ให้เจ้าหน้าที่และระบุรายละเอียดที่ต้องการใช้ตามด้านบน
- ถ้าซื้อที่ Fukuoka Airport International Terminal จะยังไม่สามารถจองขบวนรถไฟสายต่างๆได้นะ ต้องไปจองที่สถานี JR ใหญ่ๆ สามารถเช็คข้อมูลจากเว็บไซต์หลักของ JR ได้ที่นี่
วิธีการใช้งานตั๋ว JR Kyushu Rail Pass
ตั๋ว JR Kyushu Rail Pass ที่ใช้ได้ที่ญี่ปุ่นจะหน้าเป็นแบบนี้ ตอนแลกบัตรเป็นบัตรจริง หรือเปิดใช้บัตรแล้วจะได้แผ่นพับ Timetable ของรถไฟทุกขบวนมาเก็บไว้เพื่อความสะดวกสบาย แต่หากใครต้องวางแผนเวลาการเดินทางก่อน สามารถเช็คตารางเวลารถไฟทั้งหมดของคิวชูได้ที่นี่
การจองที่นั่งรถไฟที่คิวชู (Reserve seat)
- เราสามารถจองขบวนรถไฟสายต่างๆได้ตามสถานีที่มีสัญลักษณ์ JR หลังจากได้บัตร JR Kyushu Rail Pass มา โดยการยื่น passport ให้แก่เจ้าหน้าที่
- รถไฟขบวนที่พิเศษที่ต้องทำการจองเท่านั้น ได้แก่ Yufuin No mori, Aso Boy, A-Train, SL Hitoyoshi, Ibusuki no Tamateboko (ไม่มี car non- reserve)
- ถ้ารถไฟขบวนไหนมี car สำหรับคนที่ไม่ได้จอง ก็สามารถโชว์บัตร JR แก่นายสถานีได้เลย เพียงแต่ต้องไปยืนที่โบกี้ non-reserve เท่านั้นนะ
วิธีการดูตั๋วรถไฟและชานชาลาที่ต้องไปขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น
- Track = ชานชาลา (ชานชาลาที่เราต้องไปรอรถไฟ)
- Car = โบกี้ (จุดทางเข้าโบกี้ หรือ โบกี้ของตำแหน่งที่นั่งเรา)
เราจะไปขึ้นชานชาลาที่ไหน?
ไม่ต้องตกใจหากหน้าจอมอนิเตอร์มีแต่ภาษาญี่ปุ่น เพราะจะมีสลับกับภาษาอังกฤษให้อ่านเป็นระยะๆ แนะให้มองที่เวลา ถ้าตรงกันกับเวลาที่เราต้องขึ้นก็คือใช่เลย เพราะไม่มีรถไฟขบวนที่แล่นมาทับกันแน่นอน เช่น เราจะไป Yufuin เวลา 14:06 เราก็ดูเวลาที่มอนิเตอร์ ถ้าตรงกันกับตั๋วรถไฟที่จองไว้ก็ไป Track ที่ 8 ตามจอเลย เดินเข้าชานชาลาไปได้เลยไม่หลงแน่
พอเช้ามาที่ชานชาลาแล้ว ถ้าเหลือเวลาก็เดินหาทางเข้าโบกี้ที่จองไว้ได้เลยค่า โดย Blog ของคุณ Athlons อธิบายเอาไว้ดีมากค่ะ เราศึกษาข้อมูลส่วนใหญ่จาก Blog นี้เลย
แลกเงินเจ้าไหน ได้เรตดีสุด?
ตอนที่เราศึกษาหาข้อมูลก็เจอ เว็บไซต์เปรียบเทียบ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ของแต่ละที่มาแสดงรวมกันไว้ พร้อมคำนวณเป็นเงินบาท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการค้นหาเรตที่ดีที่สุด ซึ่งเค้าทำออกมาได้ดีมากในระดับหนึ่ง จำได้ว่า ตอนนั้น เราออมเงินด้วยแบงค์ 50 มาประมาณเกือบ 1 ปี ก็นำไปแลกเป็นเงินเยนนี่ล่ะค่ะ ใครจะออมด้วยวิธีนี้บ้าง ก็ไม่ห้ามนะคะ เอ้อออ!! ที่สำคัญ นำพาสปอร์ตไปด้วยทุกครั้งที่แลกเงินนะ
สิ่งที่ควรเตรียมไป
1. Passport: แน่นอนล่ะ ถ้าใครลืมพาสปอร์ตก็คงต้องนอนสนามบินแล้วล่ะ 5555 หากใครยังไม่ได้ทำพาสปอร์ต ศึกษาการเตรียมตัว วิธีทำ ขั้นตอนการทำพาสปอร์ตที่นี่
2. Pocket wifi จำเป็นมั้ย : ก็แล้วแต่คน แต่สำหรับเรามีไว้ยังไก็อุ่นใจกว่า พกไว้ใช้เวลาหลงทางหรือจำเป็นต้องหาข้อมูลอะไร เราใช้ซามูไรรุ่น 4G LTE ความเร็วใช้ได้ แบตอึด ต่อกันสองคนได้ทั้งวันไม่มีหมด แต่เสียอย่างเดียวตัวเครื่องเก่าไปหน่อย ฮาๆ
3. ปลั๊กไฟ: จำเป็นอย่างยิ่ง นี่ขนาดเป็นห้องแบบ 4 เตียง แต่มีรูเสียบเพียงแค่ 2 !! และอย่าลืมว่าต้องเป็นหัวแบนที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่นด้วยนะคะ
4. ยา: อันนี้ก็สำคัญค่ะ เพราะตอนที่เราไปเราไอหนักมาก ไอจนทำให้คนอื่นเค้ารำคาญไปหมด พอจะไปซื้อยาราคาสูงปี๊ดเลย ประมาณเกือบ 2000 yen ทำใจซื้อไม่ลง เลยได้มาแค่ยาอม ราคาก็ประมาณ 300 yen ค่ะ ก็ยังแพงอยู่ดีได้มาอมแค่ 8 เม็ด 5555 สำคัญมากจริงๆนะ ยาแก้หวัด แก้ไข เจ็บคอร้อนใน ปวดหัวเป็นไข้ เนื่องจากยาไม่ได้หนักอะไร เตรียมไปอุ่นใจกว่าเยอะค่ะ
5. สภาพภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่น: เราใช้วิธีเช็คสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจริง ณ สถานที่นั้นๆในญี่ปุ่นจาก hash tag (#) ตามพวก instagram, twitter และ facebook เช่น เราอยากรู้อากาศของ Yufuin เมื่อวานหรือวันนี้ ก็เสิร์ท hashtag #yufuin #yufuinnomori อะไรแบบนี้เป็นต้น ก็จะเห็นคนที่ไปมาแล้วจริงๆ ในเวลาใกล้เคียงกับที่เราจะไป มีบางคนที่เราไปถาม เค้าก็ให้คำตอบกลับมาได้ดีเลยค่ะ โชคดีจริงๆที่คนไทยใจดี หรือสามารถเช็คได้จากเว็บไซต์พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นที่นี่
6. แผนที่: แนะนำว่าทำเป็นลิงค์ Google Maps สถานที่สำคัญที่เราจะไปทั้งหมด เช่น โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว สถานีรถไฟ ร้านอาหาร เซฟเก็บไว้ในสมาร์ทโฟน เวลาหลงทางหรือหาสถานที่กเปิดลิงค์จากที่เซฟไว้ได้เลย ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งหา แนะนำให้ทำค่ะ เสียเวลาหน่อยแต่มีประโยชน์มาก และถ้าปริ้นแผนที่ไปได้ด้วย ยิ่งดีเลย
โปรแกรมการท่องเที่ยวที่คิวชู สูตร 7 วัน 6 คืน
เราทำโปรแกรมการท่องเที่ยวที่คิวชูไว้ใน excel แบบง่ายๆ เพื่อความเข้าใจในแบบของเราเอง ใครจะนำไปใช้ไม่ว่ากันค่ะ เราจะเน้นเดินทางแบบสามเหลี่ยม วนไปเรื่อยๆแบบไม่นั่งรถไฟกลับมาทางเดิม
Day 1 : เที่ยวคุมาโมโตะทั้งวันแล้วก็นอนนั่นเลย แพลนไว้จะไป 4 ที่ Kumamoto Castle, Kumamon Square, Suizenji Garden และ Shimotori, Sun Road Shin-shigai และ Kamitori
Day 2 : เป็นวันที่วางโปรแกรมไว้แบบไม่แน่ใจและลังเล เพราะเหตุการ์ณทางธรรมชาติที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลย จากภูเขาไฟ ASO แต่ความจริงแล้ว จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวรู้กัน
Day 3 : เราก็สามารถเที่ยวได้ทั้งที่ Beppu และ Yufuin อย่างละครึ่งวัน ซึ่งตามโปรแกรมถือว่าเที่ยวแต่ละที่แบบกระชั้นชิดมาก แต่ในความเป็นจริง ความผิดแผนทำให้เราเที่ยวที่ที่นึงได้อย่างสบายใจและมีความสุขมากๆ
Day 4 : เราคิดไว้เลยว่ายังไงก็ต้องไป Kurokawa Onsen เมืองแห่งออนเซ็นท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามให้ได้ แต่ที่ไหนได้ TT ผิดหวังสุดๆ หิมะถล่มหนักจนโปรแกรมพังไปตามๆกัน
Day 5 : เราเลือกไป Nagasaki แต่ตอนแรกที่แพลนไว้คืออยากนั่งไปเที่ยวที่ Yufuin ให้เต็มอิ่มกว่า ด้วย รถไฟ Yufuin No Mori เลยทำให้โปรแกรมโยกไปโยกมาแบบนี้ แต่จริงๆแล้ว …. มันสบายกว่านั้น และดันผิดคาดเข้าไปอีก ฮ่าๆ
Day 6 : ถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวที่คิวชู เพราะวันพรุ่งนี้บินแต่เช้า และวันนี้เป็นวันที่บัตรเบ่ง JR หมดอายุ ไม่สามารถนั่งรถไฟได้แล้ว เลยต้องอยู่ที่ ฮากาตะ เท่านั้น เรากะไว้ว่าจะเที่ยวแบบสุ่มๆ คือไปไหนก็ได้แล้วแต่เวลาตามความพอใจ โปรแกรมเลยออกมาเป็นแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ (คืนนี้เรานอนร้านเน็ตด้วย ตื่นเต้นแปลกใหม่สุดๆ เรามีทำบทความ ประสบการณ์นอนร้านเน็ตที่ญี่ปุ่น ฝากติดตามด้วยน้าา ไหว้ล่ะ 5555)
Day 7 : ที่จริงก็ดูเหมือนเป็นวันเรียบง่าย ไม่มีอะไรนะ แต่เวลาจริงๆแล้ว…มันไม่ใช่อย่างงั้น “วิ่งตาแตก แบกของตาเหลือก” กันเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ ถ้าพร้อมเดินทางไปกับเรานั้น เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วเราจะมาเล่าถึงประสบการ์ณอันดีของเราให้เพื่อนๆชาว japaikin ได้สนุกได้ด้วยกัน…
“การที่เราได้เดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เกินความคาดหมาย ทำให้เรารู้จักตัวเอง ทำให้เราเห็นคุณค่าถึงสิ่งต่างๆรอบตัว รวมไปถึง การเป็นเพื่อนกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่”
รักนะ…คิวชู
ยังไม่จบนะ รอติดตามตอนต่อไป 🙂